Monday, March 30, 2015

แต่งบ้านด้วยโซฟาเบด

สำหรับใครที่กำลังมองหาโซฟามาแต่งบ้าน ขอแนะนำ โซฟาเบด ค่ะ

     โซฟาเบด คือ เก้าอี้ที่เปลี่ยนหรือปรับเป็นที่นอนได้ จะปรับเป็นโซฟานั่งเล่นในระหว่างวัน หรือปรับเป็นเบาะเตียงนอนก็ได้ในยามค่ำคืน เพียงแค่มีหมอนนุ่มๆกับผ้าห่มสักผืนก็ช่วยให้หลับสบาย  เหมาะเป็นเฟอร์นิเจอร์ประจำบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บ้านที่มีบริเวณจำกัดเพราะจะช่วยประหยัดพื้นที่ใช้สอย  และด้วยดีไซน์ที่สวยงามของโซฟาเบด จึงช่วยประหยัดงบประมาณในการตกแต่งบ้านอีกด้วย   ประโยชน์ของโซฟาเบดยังอีกมีหลากหลาย นอกจากจะใช้ทำเป็นมุมห้องนั่งเล่นเป็นบริเวณพักผ่อนกับครอบครัว ทำกิจกรรมต่างๆเช่น ดูทีวี เล่นเกม อ่านหนังสือ ทานอาหารว่าง ชา กาแฟ นั่งปรึกษาพูดคุยกันแล้วยังใช้เป็นที่นอนเพื่อรองรัับแขกที่มาเยี่ยมเยือนบ้านได้อีกด้วย

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤


มาดูดีไซน์ต่างๆของโซฟาเบดกัน

โซฟาเบด
โซฟาเบด
 โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
 โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

เมื่อนำโซฟาเบดไปเป็นเฟอร์นิเจอร์ใช้สอยในบ้าน

โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด
โซฟาเบด


Read more: http://www.homedec.in.th/%e0%b9%82%e0%b8%8b%e0%b8%9f%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%9a%e0%b8%94/#ixzz3VutcZC8o

Saturday, March 28, 2015

4 คำท่องไว้ เฝ้า-ปิด-ชิด-ช่วย เลี้ยงลูกตามวัยให้ปลอดภัยจาก “น้ำ”

ร้อนนี้ ระวังเจ้าตัวดี จมน้ำ!!
เด็กแต่ละวัยจะมีความเสี่ยงที่จะจมน้ำในลักษณะที่แตกต่างกันไป ดังนั้นก่อนที่จะดูว่าเด็กแต่ละวัยควรดูแลป้องกันอย่างไร อยากให้พ่อแม่ที่ไม่ว่าลูกอยู่ในวัยใด ท่องจำกฎนี้ ให้ขึ้นใจก่อน เพราะเพียงแค่ 4 คำง่ายๆ เฝ้า ปิด ชิด ช่วยจะป้องกันหนูน้อยจากการจมน้ำได้ตลอดไป มาเริ่มกันเลยที่
·เฝ้า คือการเฝ้าดูแลลูกอย่าให้คลาดสายตา โดยเฉพาะเมื่ออยู่ใกล้แหล่งน้ำ

· ปิด ควรหาฝาปิดภาชนะใส่น้ำต่างๆ เช่น โอ่ง ถังน้ำ กะละมัง หรือหากไม่ใช้ควรเทน้ำทิ้งทันทีและคว่ำอุปกรณ์เหล่านั้นเก็บให้เป็นที่ปิดประตูห้องน้ำเสมอหากมีสระว่ายน้ำ หรือแหล่งน้ำเช่นทะเลสาบ หรือบึงน้ำ ในบริเวณบ้านก็ควรทำรั้วล้อมไม่ให้เด็กๆ เข้าไปในบริเวณดังกล่าวได้
· ชิด เมื่อให้ลูกลงเล่นน้ำ พ่อแม่ผู้ปกครองควรอยู่ประชิดตัวลูก โดยห่างให้ลูกอยู่ห่างได้ไม่เกิน 1 ช่วงแขน ไม่ปล่อยลูกเล่นน้ำเพียงลำพัง แม้ในสระว่ายน้ำจะมีคนอื่นๆ เล่นน้ำอยู่ด้วยก็ตาม
· ช่วย เรียนรู้วิธีการช่วยปฐมพยาบาลเด็กจมน้ำในเบื้องต้น รวมทั้งสอนให้ลูกรู้จักวิธีการช่วยเหลือตัวเองเมื่อตกน้ำ

ดูแลหนูน้อยวัย 0-3 ปี
เจ้าตัวน้อยวัยนี้ อยู่ระหว่างการหัดเดิน การทรงตัวยังไม่ดีนัก จึงมีความเสี่ยงที่จะหน้าคะมำลงไปในถังน้ำ อ่างน้ำ และไม่สามารถช่วยตัวเองได้ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำเพื่อป้องกันความปลอดภัยให้หนูน้อยวัยนี้ได้แก่
· ควรหาฝาปิดภาชนะใส่น้ำต่างๆหากไม่ใช้ควรเทน้ำทิ้งทันทีอย่าวางทิ้งไว้แม้จะมีน้ำเพียงไม่กี่นิ้วก็ตาม
· ไม่เล่นโทรศัพท์มือถือขณะที่ดูแลลูก เพราะแอพลิเคชั่นสนุกๆ หรือข้อความจากเพื่อนสาว อาจทำให้คุณเผลอละสายตาจากเจ้าตัวน้อยได้โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในที่ที่ใกล้แหล่งน้ำควรเก็บโทรศัพท์ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้มีอะไรทำให้คุณวอกแวกไปจากการดูแลเจ้าตัวน้อยได้
· ควรสอนให้ลูกอยู่ห่างจากแหล่งน้ำไม่เข้าใกล้บริเวณที่เป็นแหล่งน้ำโดยไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วย
· สำหรับเด็กวัย 3 ปีขึ้นไป อาจใช้นิทานในการสอนให้ลูกเห็นถึงอันตรายของการจมน้ำ สอนลูกไม่ให้เข้าไปเก็บของริมน้ำหรือริมตลิ่ง หากทำของเล่นตกลงไปควรบอกให้ผู้ใหญ่ทราบ

ดูแลลูกวัย 3 ปีขึ้นไป
·ไม่ปล่อยลูกไว้ในอ่างอาบน้ำเพียงลำพัง แม้เพียงเสี้ยวนาที
·ไม่ปล่อยให้ลูกไปเล่นตามลำพัง แม้จะในบริเวณที่คุ้นเคย
· หากมีสระว่ายน้ำ หรือแหล่งน้ำเช่นทะเลสาบ หรือบึงน้ำ ในบริเวณบ้านก็ควรทำรั้วล้อมไม่ให้เด็กๆ เข้าไปในบริเวณดังกล่าวได้
· ฝึกให้ลูกตะโกนขอความช่วยเหลือหากตกน้ำ และสอนให้ลูกตะกายเข้าหาฝั่งแม้จะว่ายน้ำไม่เป็น
· เด็กอายุ 6ขึ้นไป ควรว่ายน้ำได้ รู้จักการช่วยเหลือผู้ตกน้ำได้อย่างถูกวิธี และ รู้จักการใช้ชูชีพเมื่อต้องเดินทางทางน้ำ เด็กอายุ 9 ปีขึ้นไปควรได้รับการฝึกการปฐมพยาบาล และสามารถปฏิบัติได้จริง
· ควรเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไปสอนให้รู้จักวิเคราะห์หาจุดเสี่ยงได้ด้วยตนเอง เช่น บริเวณนี้น้ำลึกหรือไม่ ควรเข้าใกล้หรือไม่ เป็นต้น

เรียนว่ายน้ำ เมื่อไรดี
เพื่อความปลอดภัยของเจ้าตัวเล็ก คุณพ่อคุณแม่อาจคิดพาลูกไปเรียนว่ายน้ำ อย่างไรก็ตาม พัฒนาการทางร่างกายของลูกอาจยังไม่พร้อมสำหรับการว่ายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ จนกว่าจะอายุ 4 ปีขึ้นไป คลาสสอนว่ายน้ำเด็กเล็ก อาจลดความเสี่ยงจากการจมน้ำได้ระดับหนึ่ง แต่หนูน้อยวัยนี้ก็ยังจำเป็นต้องได้รับการดูแลใกล้ชิดจากผู้ใหญ่อยู่นั่นเอง

สอนลูกเอาชีวิตรอดในน้ำ
หลักสูตรว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด เป็นหลักสูตรโดยสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข ที่ผลิตขึ้นเพื่อให้เด็กมีความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยทางน้ำ เอาชีวิตรอดได้เมื่อตกน้ำ โดยในหลักสูตรนี้ได้แนะนำการเอาชีวิตรอดในน้ำ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้สอนเด็กๆ ได้ ดังนี้
1. ให้ลูกหันหน้าเข้าหาขอบสระ ปลายเท้า2 ข้างชิดผนังสระ มือจับขอบสระ ย่อเข่าลงเงยหน้าให้ใบหูปริ่มน้ำ แล้วค่อยๆ เหยีดแขนตรง
2. หายใจเข้าเต็มปอด ยืดอก ยกพุง ปล่อยมือออกจากขอบสระ จัดลำตัวให้ตรง แขนเหยียดตรงข้างลำตัว ขาตรงหลักสำคัญคือเงยหน้ามากๆ ตัวไม่งอ เอวไม่งอ จะทำให้ลอยเหนือผิวน้ำได้
3. คุณพ่อคุณแม่สามารถดาวน์โหลดคู่มือฉบับเต็มได้จากเว็บไซต์ http://www.thaincd.com/drowning/information.php

CPR น่ารู้ ช่วยหนูๆ เมื่อจมน้ำ
CPR หรือ ปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ(Cardiopulmonary resuscitation) คือ การช่วยเหลือผู้ที่หยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้น ให้มีการหายใจ และการไหลเวียนกลับคืนสู่สภาพเดิม ซึ่งเป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ถูกวิธี ในกรณีที่มีคนจมน้ำ ซึ่งทำได้โดย
· เมื่อนำเด็กขึ้นจากน้ำแล้วให้วางเด็กนอนบนพื้นราบที่แห้งและแข็ง เขย่าและเรียกชื่อว่าลูกรู้สึกตัวหรือไม่ หากไม่รู้สึกตัว ให้ทำการช่วยหายใจ (โดยระหว่างนี้ควรมีคนโทรแจ้งขอให้รถพยาบาลมารับตัวผู้ป่วยด้วย)
· ระหว่างที่รอรถพยาบาล ให้ทำการช่วยหายใจ โดย เปิดทางเดินหายใจ กดหน้าผาก เชยคาง
·เป่าปาก โดยการวางปากครอบกับปากของผู้ป่วย บีบจมูก และเป่าลมเข้าให้หน้าอกผู้ป่วยยกขึ้น โดยเป่า 2 ครั้ง
· หลังจากนั้น ทำการกดหัวใจ โดยวางสันมือขนานแนวกึ่งกลางหน้าอก (บริเวณกึ่งกลางหัวนม 2 ข้าง) ประสานมือแขนตั้งฉาก กดหน้าอกให้ยุบประมาณ 1-1.5 นิ้ว ความเร็ว 100 ครั้งต่อนาที
· ทำ 30 ครั้งสลับกับการเป่าปาก 2 ครั้ง จนกว่าผู้ป่วยจะหายใจได้เองหรือจนกว่ารถพยาบาลจะมา
· เมื่อหายใจได้เองแล้ว ให้จับผู้ป่วยนอนตะแคงข้าง ศรีษะหงายไปข้างหลังเพื่อให้น้ำไหลออกจากปาก
·ใช้ผ้าคลุมเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ควรงดน้ำงดอาหารและพาลูกไปพบแพทย์ทันที

เบอร์โทรฉุกเฉิน ที่ควรรู้
·1669 ศูนย์นเรทร เจ็บป่วยฉุกเฉิน
·1196 อุบัติเหตุทางน้ำ
·1154 หน่วยแพทย์กู้ชีพ
·1691 แจ้งอุบัติเหตุ รพ.ตำรวจ
· 1199 เหตุด่วนทางน้ำ ศูนย์ปลอดภัยทางน้ำ

Drowning FYI! จมน้ำ...บางเรื่องที่คุณยังไม่เคยรู้
· การจมน้ำ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี โดย 10 ปีที่ผ่านมา (2546-2556) มีเด็กจมน้ำเสียชีวิตสูงถึง 1,298 คนต่อปี หรือเฉลี่ยวันละเกือบ 4 ราย
· เด็กจมน้ำมีเวลาเพียง 4 นาทีในการช่วยชีวิต
· เด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี ว่ายน้ำเป็นเพียง 16.3%
· 94% ของการจมน้ำตายในเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี เกิดขึ้นในบ้าน รอบบ้าน และละแวกบ้าน (การศึกษาการจมน้ำในเด็กที่มีภูมิลำเนาในกรุงเทพมหานครและเสียชีวิตจากการจมน้ำในกรุงเทพมหานคร)
· ในประเทศออสเตรเลีย การจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเป็นอันดับหนึ่งในเด็กวัย 1-3 ปี
·ในประเทศจีนเด็กวัย 1-14 ปี เสียชีวิตจากการจมน้ำมากที่สุด
· เด็กชายมีความเสี่ยงจากการจมน้ำเสียชีวิตมากกว่าเด็กหญิง
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.istockphoto.com/

Thursday, March 26, 2015

28 วิธีขจัดคราบสกปรกบนเนื้อผ้า แป๊บเดียว สะอาดเหมือนใหม่

28 วิธีขจัดคราบสกปรกบนเนื้อผ้า แป๊บเดียว สะอาดเหมือนใหม่
สารพัดที่คอยจะมาทำให้เสื้อผ้าของเราเลอะเทอะ บางครั้งก็ทำความสะอาดยากมาก นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้เคล็ดลับพิเศษ Sanook!home เลยจัดมาแบบเต็มๆ กับ 28 เคล็ดลับขจัดคราบสกปรกนานาชนิด ที่คุณแม่บ้านทำตามแล้วรับประกันความสะอาดอย่างแน่นอน

1.รอยเปื้อนชอล์คเขียนผ้า
นำผ้าที่เปื้อนไปแช่ในน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำผสมผงซักฟอก ก่อนนำผ้าไปซัก โดยเน้นขยี้ตามแนวรอยเปื้อนจนกว่ารอยจะออก หรือโรยผงซักฟอกทิ้งไว้ตามแนวรอยเปื้อนก่อนนำผ้าไปซัก
 
2.คราบจากเตารีดไหม้
ให้นำหัวหอมไปถูบริเวณที่มีคราบ ทิ้งไว้ซักพักแล้วล้างน้ำออก
 
3.น้ำผลไม้, น้ำมันพืช
นำผ้าที่เปื้อนไปขึงให้ตึงบนปากกะละมัง เทน้ำเดือดลงบนรอยเปื้อน แล้วจึงนำผ้าไปซัก
 
4.รอยเปื้อนน้ำส้มสายชู
ผสมแอมโมเนีย ๑ ช้อนชา ในน้ำ ๒ ถ้วย (ครึ่งลิตร) แล้วนำผ้าไปแช่ ๒-๓ นาที ล้างออกแล้วซักตามปกติ
 
5.คราบน้ำชา
รีบเทน้ำเดือดลงบนรอยเปื้อนบนผ้าที่เพิ่งเปื้อนจนรอยจางลง จากนั้นนำไปซักในน้ำอุ่นกับสบู่ ถ้ายังไม่ออกให้ใช้น้ำยาฟอกขาวเช็ด แล้วจึงนำไปซัก
 
6.รอยเปื้อนกาว
ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดที่รอยเปื้อน นำมาแช่ในน้ำเย็น แล้วซักตามปกติ
 
7.รอยเปื้อนกาแฟ
ใช้แป้งข้าวเจ้าถูบริเวณรอยเปื้อน แล้วจึงนำไปซักตามปกติ
 
8.รอยเปื้อนน้ำหมึก
ก่อนซักให้นำเกลือป่นโรยตรงรอยเปื้อน แล้วบีบน้ำมะนาวลงไปให้ชุ่ม ผึ่งแดดไว้ครึ่งวัน จึงค่อยนำไปซัก
 
9.รอยเปื้อนช็อกโกแลต 
รีบนำผ้าที่เปื้อนไปแช่น้ำอุ่นทันทีที่เปื้อน อาจใช้น้ำยาขจัดคราบช่วยด้วย จากนั้นนำไปซักตามปกติ
 
10.รอยเปื้อนเลือด
นำนมข้นหวานทาบริเวณรอยเปื้อน ทิ้งไว้สักครู่ แล้วนำไปขยี้น้ำออก
 
11.รอยเปื้อนคราบเลือดจางๆ (คราบเก่า)
ใช้เบกกิ้งโซดาผสมน้ำสักเล็กน้อย จนข้น นำไปถูเบาๆ ตรงรอยเปื้อน เมื่อแห้งจึงปัดฝุ่นออก
 
12.รอยเปื้อนคราบเลือดฝังแน่น
ใช้ฟองน้ำจุ่มน้ำเย็นที่ผสมเกลือจนชุ่ม ถูเบาๆ จนรอยค่อยๆ จางลง แล้วใช้น้ำเปล่าถูอีกครั้ง สุดท้ายใช้ทิชชูซับน้ำให้แห้ง
 
13.เปื้อนครีม เนย น้ำมัน
นำแป้งฝุ่นทาตัวมาโรย ใช้กระดาษทิชชู หรือกระดาษบางอื่นๆ วางทับ นำเตารีดที่ร้อนพอสมควร วางทับบนกระดาษ จนแป้งดูดคราบมันออกหมด จึงนำไปซัก
 
14.รอยเปื้อนสนิม
นำผ้ามาชุบน้ำให้เปียกก่อน บีบน้ำมะนาวลงไปบนรอยเปื้อนทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงนำไปซักตามปกติ
 
15.ผ้าขาวที่ออกสีเหลือง
ใช้เปลือกไข่ป่นละเอียด ใส่ในกะละมังซักผ้า แช่ทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงซักตามปกติ
 
16.ผ้าขึ้นรา (เล็กน้อย)
นำผ้าไปซักในน้ำสบู่ร้อนๆ หรือบีบมะนาวลงไปตรงที่มีราขึ้น แล้วแช่ผ้าไว้ในผงซักฟอกสักครู่ แล้วจึงซักผ้าตามปกติ
 
17.รอยเปื้อนยาแดง
เช็ดรอยเปื้อนด้วยแอมโมเนีย หรือซักด้วยน้ำส้มสายชูผสมน้ำ
 
18.รอยเปื้อนยาทาเล็บ
ซับที่รอยเปื้อนด้วยน้ำยาล้างเล็บ และเช็ดด้วยผ้าที่สะอาดจนรอยเปื้อนจางลง (ควรลองหยดน้ำยาทาเล็บลงผ้าก่อน)
 
19.รอยเปื้อนยางกล้วย
ใช้มะนาวที่ฝานเป็นชิ้นบางๆ ถูตรงรอยเปื้อนที่เป็นคราบดำแล้วรีบนำมาซักทันที
 
20.รอยเปื้อนลิปสติก
ใช้ มันเปลวหมูทาตรงรอยเปื้อน แล้วจึงซักในน้ำสบู่ร้อนๆ หรือใช้ผงซักฟอกโรยตรงรอยเปื้อน แล้วขยี้ จากนั้นจึงซักตามปกติ หรือใช้วาสลินถูตรงรอยเปื้อน แล้วนำไปซักตามปกตินำผ้าที่เปื้อนไปแช่ในน้ำผสมเกลือทิ้งไว้ ๑ คืน จะทำให้รอยลิปสติกหายไป
 
21.รอยเปื้อนดินสอ
ใช้ยาสีฟันป้ายลงบนรอยดินสอแล้วขยี้
 
22.รอยเปื้อนปากกาลูกลื่น
ใช้ฟองน้ำชุบแอลกอฮอล์เช็ดจนรอยจางลง แล้วจึงนำไปซัก
 
23.รอยเปื้อนหมากฝรั่ง
ขูดยางหมากฝรั่งออกด้วยสันมีดเบา แล้วใช้น้ำแข็งถูเพื่อให้ยางนั้นแข็งตัว แล้วค่อยๆ แกะออก จากนั้นใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ด นำไปซักในน้ำสบู่อ่อน
 
24.คราบเหงื่อไคล
ซักด้วยน้ำผสมน้ำส้มสายชูเล็กน้อย หรือน้ำมะนาวละลายยาแก้ปวด ๒ เม็ดลงในน้ำ แช่ผ้าไว้สักครู่ จึงค่อยซักตามปกติ
 
25.คราบโคลน
ปล่อยให้โคลนแห้ง แล้วใช้แปรงปัดออก ซักด้วยน้ำเย็นหลายๆ ครั้งจนไม่มีน้ำโคลนออกมา จึงซักด้วยผงซักซอก
 
26.คราบน้ำตาเทียน
ใช้ก้อนน้ำแข็งขูดเกล็ดเทียนออกให้มากที่สุด จากนั้นจึงใช้กระดาษประกบบริเวณที่เปื้อนทั้ง ๒ ด้าน แล้วใช้เตารีดอุ่นๆ รีดทับจนน้ำตาเทียนซึมออกมาติดกับกระดาษแล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ
 
27.รอยเปื้อนไข่
ผสมน้ำซักผ้ากับน้ำอุ่น แล้วนำผ้าเปื้อนไปซัก
 
28.รอยเปื้อนขี้ผึ้ง 
วางกระดาษซับบนรอยเปื้อนแล้วกดด้วยเตารีดที่ร้อน เปลี่ยนกระดาษจนกระทั่งไขทั้งหมดถูกดูดซับไปหมด สำหรับผ้าเนื้อบางหรือผ้าไหมให้ใช้กระดาษทิชชูซับแทนกระดาษธรรมดา และใช้เตารีดที่ไม่ร้อนมาก

Monday, March 23, 2015

อวดผิวสวยรับซัมเมอร์กับเคล็ดลับทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพ

หลังผ่านพ้นหน้าหนาวไป แสงอันร้อนระอุก็แผดเข้ามา นับเป็นฤดูกาลที่ความร้อนเล่นงานผิวสาวได้ทุกเมื่อเชื่อวันจริงๆ ซัมเมอร์ที่กำลังย่างเข้ามาถึงในเร็ววันนี้ ย่อมนำมาผิวไหม้เกรียมและพกพาความหมองคล้ำมาทำลายผิวสวยๆ ให้หมดไปได้อย่างน่าใจหาย แต่การทาครีมกันแดดจะช่วยดูแลปกป้องผิวจากปัญหาดังกล่าวได้อย่างแท้จริงค่ะ เห็นที.. สาวๆ มองข้ามการทาครีมกันแดดกันไม่ได้ซะแล้วนะคะ
อวดผิวสวยรับซัมเมอร์กับเคล็ดลับทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพ
อวดผิวสวยรับซัมเมอร์กับเคล็ดลับทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพ
ทำไมจึงต้องทาครีมกันแดด
เนื่องจากในแสงแดดนั้นมีรังสี UV ทั้ง UVA และ UVB และอีกสารพัดที่เป็นสาเหตุให้ผิวเกิดผ้า กระ ริ้วรอย ความหมองคล้ำและเกิดมะเร็งผิวหนังได้ด้วย และการทาครีมกันแดดทุกวันนี่แหละที่จะช่วยป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB ได้อย่างอยู่หมัด
วิธีเลือกครีมกันแดดที่ถูกต้อง
1.เลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิว
ผิวมัน ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่เป็นเนื้อเจลหรือเนื้อซิลิโคน เพราะเป็นเนื้อครีมที่ปราศจากน้ำมัน
ผิวธรรมดา ควรเลือกที่เป็นเนื้อโลชั่น เพราะมีส่วนผสมจากน้ำมากกว่าน้ำมัน
ผิวแห้ง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อครีม เพราะจะมีส่วนผสมจากน้ำมันอยู่มาก และผิวที่แห้งมากควรเลือกใช้ประเภทที่เป็นน้ำมันล้วนๆ
ผิวแพ้ง่าย ควรเลือกใช้แบบเนื้อเซรั่มหรือเนื้อครีมบางเบา
อวดผิวสวยรับซัมเมอร์กับเคล็ดลับทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพ
อวดผิวสวยรับซัมเมอร์กับเคล็ดลับทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพ
2.เลือกใช้ให้เหมาะกับสีผิว
ผิวขาวซีด เป็นผิวที่ไวต่อแสงมากจึงควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงมากกว่าปกติสักเล็กน้อย
ผิวขาวอมชมพู เป็นผิวที่ค่อนข้างบอบบาง ไหม้แดดง่าย ควรใช้ที่มีค่า SPF สูงประมาณ 30-45
ผิวขาวเหลือง เป็นสีผิวที่แม้บอบบางแต่ก็ยังมีเมลานินอยู่บ้าง และทนต่อแสงแดด ควรใช้ครีมที่มีค่า SPF ระดับปานกลาง
ผิวคล้ำ มีเมลานินสูงจะไม่เกิดการไหม้หรือไม่ก่อให้เกิดผิวสีแทน ควรใช้ครีมที่มีค่า SPF ต่ำ (SPF 15) ก็โอเคแล้วค่ะ
อวดผิวสวยรับซัมเมอร์กับเคล็ดลับทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพ
อวดผิวสวยรับซัมเมอร์กับเคล็ดลับทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพ
วิธีทาครีมกันแดดให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
1.ไม่จำเป็นต้องทาครีมกันแดดในปริมาณที่มากเกินไป สำหรับการออกแดดในแต่ละครั้งปริมาณที่ควรทาคือ 1 ช้อนชาก็นับว่าเพียงพอแล้ว
2.การทาครีมกันแดดสำหรับผิวหน้า ควรทาซ้ำ 2 ครั้ง เนื่องจากผิวหน้าเป็นส่วนที่กระทบกับแสงแดดโดยตรงมากที่สุด
3.ควรทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านประมาณ 15 นาที และควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงจะดีมาก
อย่างไรก็ตาม เพื่อการปกป้องผิวจากรังสี UV ให้ได้ผลและเพื่อคงความกระจ่างใสของผิว แนะนำให้สาวๆ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด หมั่นกางร่ม สวมเสื้อแขนยายคลุม สวมแว่นตาหรือหมวกบ่อยๆ หากเลี่ยงแสงแดดได้มากเท่าไร ก็ย่อมมีผิวที่สวยอ่อนเยาว์ไม่มีริ้วรอยและความหมองคล้ำเกิดขึ้นก่อนวัยอันควรแน่นอน

อวดผิวสวยรับซัมเมอร์กับเคล็ดลับทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพ

หลังผ่านพ้นหน้าหนาวไป แสงอันร้อนระอุก็แผดเข้ามา นับเป็นฤดูกาลที่ความร้อนเล่นงานผิวสาวได้ทุกเมื่อเชื่อวันจริงๆ ซัมเมอร์ที่กำลังย่างเข้ามาถึงในเร็ววันนี้ ย่อมนำมาผิวไหม้เกรียมและพกพาความหมองคล้ำมาทำลายผิวสวยๆ ให้หมดไปได้อย่างน่าใจหาย แต่การทาครีมกันแดดจะช่วยดูแลปกป้องผิวจากปัญหาดังกล่าวได้อย่างแท้จริงค่ะ เห็นที.. สาวๆ มองข้ามการทาครีมกันแดดกันไม่ได้ซะแล้วนะคะ
อวดผิวสวยรับซัมเมอร์กับเคล็ดลับทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพ
อวดผิวสวยรับซัมเมอร์กับเคล็ดลับทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพ
ทำไมจึงต้องทาครีมกันแดด
เนื่องจากในแสงแดดนั้นมีรังสี UV ทั้ง UVA และ UVB และอีกสารพัดที่เป็นสาเหตุให้ผิวเกิดผ้า กระ ริ้วรอย ความหมองคล้ำและเกิดมะเร็งผิวหนังได้ด้วย และการทาครีมกันแดดทุกวันนี่แหละที่จะช่วยป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB ได้อย่างอยู่หมัด
วิธีเลือกครีมกันแดดที่ถูกต้อง
1.เลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิว
ผิวมัน ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่เป็นเนื้อเจลหรือเนื้อซิลิโคน เพราะเป็นเนื้อครีมที่ปราศจากน้ำมัน
ผิวธรรมดา ควรเลือกที่เป็นเนื้อโลชั่น เพราะมีส่วนผสมจากน้ำมากกว่าน้ำมัน
ผิวแห้ง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อครีม เพราะจะมีส่วนผสมจากน้ำมันอยู่มาก และผิวที่แห้งมากควรเลือกใช้ประเภทที่เป็นน้ำมันล้วนๆ
ผิวแพ้ง่าย ควรเลือกใช้แบบเนื้อเซรั่มหรือเนื้อครีมบางเบา
อวดผิวสวยรับซัมเมอร์กับเคล็ดลับทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพ
อวดผิวสวยรับซัมเมอร์กับเคล็ดลับทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพ
2.เลือกใช้ให้เหมาะกับสีผิว
ผิวขาวซีด เป็นผิวที่ไวต่อแสงมากจึงควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงมากกว่าปกติสักเล็กน้อย
ผิวขาวอมชมพู เป็นผิวที่ค่อนข้างบอบบาง ไหม้แดดง่าย ควรใช้ที่มีค่า SPF สูงประมาณ 30-45
ผิวขาวเหลือง เป็นสีผิวที่แม้บอบบางแต่ก็ยังมีเมลานินอยู่บ้าง และทนต่อแสงแดด ควรใช้ครีมที่มีค่า SPF ระดับปานกลาง
ผิวคล้ำ มีเมลานินสูงจะไม่เกิดการไหม้หรือไม่ก่อให้เกิดผิวสีแทน ควรใช้ครีมที่มีค่า SPF ต่ำ (SPF 15) ก็โอเคแล้วค่ะ
อวดผิวสวยรับซัมเมอร์กับเคล็ดลับทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพ
อวดผิวสวยรับซัมเมอร์กับเคล็ดลับทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพ
วิธีทาครีมกันแดดให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
1.ไม่จำเป็นต้องทาครีมกันแดดในปริมาณที่มากเกินไป สำหรับการออกแดดในแต่ละครั้งปริมาณที่ควรทาคือ 1 ช้อนชาก็นับว่าเพียงพอแล้ว
2.การทาครีมกันแดดสำหรับผิวหน้า ควรทาซ้ำ 2 ครั้ง เนื่องจากผิวหน้าเป็นส่วนที่กระทบกับแสงแดดโดยตรงมากที่สุด
3.ควรทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านประมาณ 15 นาที และควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงจะดีมาก
อย่างไรก็ตาม เพื่อการปกป้องผิวจากรังสี UV ให้ได้ผลและเพื่อคงความกระจ่างใสของผิว แนะนำให้สาวๆ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด หมั่นกางร่ม สวมเสื้อแขนยายคลุม สวมแว่นตาหรือหมวกบ่อยๆ หากเลี่ยงแสงแดดได้มากเท่าไร ก็ย่อมมีผิวที่สวยอ่อนเยาว์ไม่มีริ้วรอยและความหมองคล้ำเกิดขึ้นก่อนวัยอันควรแน่นอน