![]() | ||||||||||||||
|
Saturday, May 23, 2015
ที่สุดแห่งเหรียญ “หลวงพ่อคูณ”
Monday, May 11, 2015
6 เมืองอันตรายที่นักท่องเที่ยวไม่ควรไปเหยียบ
6. Maceio, Brazil

บราซิลมีเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องความไม่ปลอดภัยและอันตรายถึง 14 เมืองด้วยกัน รวมถึงเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอย่าง Rio de Janeiro ด้วย แต่ก็ไม่เท่ากับเมือง Maceio ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัด Alagoas หรอกครับ เพราะประชากรจำนวน 135 คนจาก 100,000 มักเสียชีวิตจากการโดนฆาตกรรม ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันเลยล่ะครับ สัตว์ร้ายต่างๆไม่ว่าจะเป็นงู แมงมุม ฯลฯ ในลุ่มน้ำอเมซอนยังดูปลอดภัยกว่าเมืองนี้ซะอีก
5. Acapulco, Mexico

เมือง Acapulco ขึ้นชื่อเรื่องชายหาดอันแสนสวยงาม แต่ปัจจุบันนี้ปัญหาเรื่องการค้ายา ฆาตกรรมมักมีให้เห็นอยู่เรื่อย จากสวรรค์ของนักท่องเที่ยวกลายเป็นนรกไปเลยล่ะครับ
4. Caracas, Venezuela

Caracas เป็นเมืองหลวงของประเทศเวเนซุเอลา ถนนหนทางในเมืองนี้มีเหตุการณ์ต่างๆที่คุณไม่คาดคิดเลยล่ะไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ ขโมย ค้ายา เหยื่อที่เสียชีวิตในเมืองสูงอันดับต้นๆเลยล่ะครับ ประชาชนที่นี่จะต้องมีคนอยู่ติดบ้านตลอดไม่งั้นของจะหาย ส่วนนักท่องเที่ยวไม่ควรไปเที่ยวโดยลำพังนะครับ อันตรายอาจเกิดขึ้นได้ง่าย จากสถิติพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการฆาตกรรม 120 คนจากประชากร 100,000 คน
3. San Pedro Sula, Honduras

ประเทศ Honduras ตั้งอยู่ในอเมริกากลาง เป็นครั้งที่สองแล้วที่ประเทศนี้ได้ถูกจัดให้อยู่ในประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นเฉลี่ยวันละ 3 ครั้ง เพราะฉะนั้นถ้าไมมีธุระอะไรสำคัญจริงๆ อย่าไปเลยครับเพื่อความปลอดภัย
2. Cali, Colombia

ประเทศในแถบลาตินอเมริกามักมียาเสพติดและฆาตกรรมมาเกี่ยวข้อง รวมถึงประเทศโคลัมเบียด้วย ความรุนแรงต่างๆมีมาหลายชั่วอายุคนแล้ว จึงเปรียบเสมือนนรกบนดินดีๆนี่เองครับ เพราะฉะนั้นอย่าไปเที่ยวคนเดียวเป็นอันขาด
1. Barquisimeto, Venezuela

ยิ่งประชากรเยอะเท่าไร ความอันตรายยิ่งมีเยอะเท่านั้น เมือง Barquisimeto มีประชากรราว 1 ล้านคน เมืองนี้ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่อันตรายที่สุดในโลก แต่ก็น่าแปลกใจนะครับ เพราะที่นี่มีชื่อเสียงด้านการเรียน เรื่องฆาตกรรมก็ยังคงเป็นปัญหาอันดับต้นๆ และไม่มีวี่แววจะดีขึ้นด้วย
ประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในทวีปอเมริกาใต้ทั้งนั้น ชาวชิคคนไหนที่กำลังวางแผนไปเที่ยวประเทศเหล่านี้ก็ควรหลีกเลี่ยงนะครับ นอกจากจะไม่สนุกแล้ว ยังต้องระแวงอีกด้วย
Source: wmnlife.com
Source: wmnlife.com
7 สูตรลับก้นครัว ที่รู้แล้ว ไม่มีวันลืม

คุณแม่บ้านที่วันๆ ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในครัว จะรู้เลยว่ามีงานต่างๆ ให้ทำทั้งวัน แม้จะเป็นงานที่ไม่ได้หนักหนาสาหัส แต่ก็วุ่นวายและจุกจิก เสียเวลาอยู่เหมือนกัน ดังนั้นการมีเคล็ดลับที่จะทำให้งานนั้นง่ายขึ้น หรือสะดวกขึ้นก็เป็นเรื่องดีและเป็นทางลัดให้กับคุณแม่บ้าน Sanook!Home จึงไปค้นหาเคล็ดลับงานครัวที่ทำแล้วชีวิตง่ายขึ้นมาฝาก

1.แช่แข็งน้ำซุป บ่อยครั้งแค่ไหนที่เราต้มน้ำซุปแล้วน้ำซุปเหลือใช้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน หรือแม้แต่น้ำซุปแบบบรรจุกล่อง เราก็สามารถเก็บน้ำซุปเหล่านั้นไว้ใช้ได้ต่อด้วยการนำน้ำซุปเทใส่ถาดทำน้ำแข็ง ก่อนจะนำไปแช่แข็ง พอจะใช้แต่ละทีก็แกะออกมาต้มลงในหม้อตามต้องการ เคล็ดลับนี้สะดวกขึ้นไหมคะ
2.หั่นเค้กได้ง่ายขึ้นด้วยมีดที่เปียกน้ำ วิธีนี้แอดมินก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่า ก่อนเราจะตัดเค้กเพียงแค่นำมีดไปแช่น้ำ แล้วหั่นลงบนเค้ก การหั่นเค้กจะง่ายขึ้นเยอะ ที่สำคัญเนื้อเค้ก ครีมจะไม่ติดเลอะเทอะมีดอีกด้วย
3.ปอกไข่ง่ายด้วยเบกกิ้งโซดา อยากปอกเปลือกไข่ง่ายๆ ชนิดที่ทุบหัว ทุบท้ายไข่แล้วเปลือกไข่ก็ล่อนได้เลย วิธีง่ายมากคือการนำผงเบกกิ้งโซดาประมาณหนึ่งช้อนชาใส่ลงไปในน้ำก่อนนำไปต้ม แล้วคุณก็จะได้ไข่ต้มชนิดปอกเปลือกง๊ายง่าย กินได้ทันใจสุดๆ

4.ทำให้ผักที่หั่นอยู่กับที่ด้วยเกลือ ปัญหาเบสิกสำหรับคุณแม่บ้านคือหั่นผักแล้วผักชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระเด็นออกจากเขียง วิธีการที่ง่ายจนแอดมิน Sanook!Home ยังตาค้างคือ ก่อนหั่นผักให้โรยเกลือเล็กน้อยบนผักนั้นๆ ตอนหั่นผักของคุณก็จะไม่กระเด็นจนต้องตามเก็บให้เหนื่อย
5.หั่นหอมใหญ่แบบไร้น้ำตา ปัญหาน้ำตาตกขณะหั่นหอมใหญ่น่าจะเป็นปัญหาระดับชาติ วิธีที่แอดมินเพิ่งรู้คือจุดเทียนไว้ใกล้ๆ ขณะหั่นหอมใหญ่ จะทำให้คุณไม่ต้องเสียน้ำตา ไม่เชื่อลองดูก็ได้ค่ะ อ่อ…แต่ถ้าคุณหั่นหอมใหญ่ใกล้เตาแก๊สให้ดับเทียนก่อนนะคะ
6.ย่างปลาไม่ให้เนื้อติดตะแกรง เวลาปิ้ง หรือย่างปลาปัญหาน่าเบื่อคือ เนื้อปลาติดตะแกรง ชนิดที่เรียกว่าแทบไม่เหลือเนื้อปลาไว้ให้กิน แถมยังไหม้เกรียมจนไม่น่ารับประทานอีกด้วย วิธีแก้ปัญหาง่ายๆ คือฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ วางลงบนตะแกรงก่อนวางเนื้อปลาไว้บนชิ้นมะนาว เพียงเท่านี้คุณก็จะได้เนื้อปลาย่างที่สุกแบบเต็มหนังเต็มเนื้อ

7.ป้องกันน้ำตาลทรายแดงแข็ง วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้น้ำตาลทรายแดงไม่แข็งตัวคือ การนำมาสมอลโล หรือขนมหวานแบบเนื้อนุ่มๆ ใส่ลงไปในถุงน้ำตาลทรายแดงก่อนปิดถุง เพียงเท่านี้น้ำตาลทรายแดงของคุณก็จะไม่เกาะตัวเป็นก้อน ใช้สะดวกมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลและภาพจาก http://lifeasmama.com
Saturday, May 9, 2015
7 บริษัทชื่อดังระดับโลกที่ถูกสร้างด้วยฝีมือนักศึกษา!!!
หลายคนคงเชื่อว่าผู้ก่อตั้งบริษัทหรือองค์กรใหญ่ๆ นั้น จำเป็นต้องเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญ หรือมีประสบการณ์การทำงานมากมายถึงจะสามารถก่อตั้งบริษัทใหญ่ๆ ได้เท่านั้น วันนี้ Life on Campus ขอนำบริษัทยักษ์ใหญ่ชื่อก้องโลกที่หลายคนต้องรู้จักและไม่คาดคิดว่าภายใต้เบื้องหลังการก่อตั้งบริษัทเหล่านี้จะเกิดขึ้นจากฝีมือเด็กมหา’ลัยที่ยังเรียนไม่จบ!! และเพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ วัยเรียนได้ลองอ่านเรื่องราวของพวกเขาดูเผื่อใครจะมีไอเดียเจ๋งๆ เริ่มต้นธุรกิจเป็นของตัวเองบ้างก็ไม่ว่ากัน!! “บิล เกตส์” บุคคลที่รวยที่สุดในโลก | |||
โดยจุดเริ่มต้นการก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์นั้นเริ่มตั้งแต่สมัยที่ บิล เกตส์ และ พอล อัลเลน ยังเรียนอยู่ในชั้นไฮสคูลเท่านั้น จากนั้น บิล เกตส์ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และหลังจากนั้นเพื่อนของเขาจึงชวนเขาให้ออกมาทำงานอย่างเต็มตัวจนประสบความสำเร็จในที่สุด และในปีนี้ ผู้ก่อตั้งบริษัท ไมโครซอฟท์ ผู้นี้มีทรัพย์สินสุทธิ 7.92 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และนอกจากรวยสิ่งที่น่าชื่นชมก็คือเขายังถือว่าเป็นคนใจบุญก่อตั้งมูลนิธิมากมายเพื่อช่วยเหลือสังคมอีกด้วย “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” เศรษฐีที่อายุน้อยที่สุด | |||
“เจอรรี่ หยาง” ซีอีโอเว็บไซต์ Yahoo! | |||
“แมตต์ มูลเลนเวก” นักพัฒนาบล็อกเกอร์ WordPress | |||
นับได้ว่า Matt Mullenweg และ Mike Little คือผู้เริ่มก่อตั้งสิ่งที่ทุกวันนี้คือ WordPress และยังมีคนสำคัญอีกคน เธอคือ Christine Tremoulet เพราะแบรนด์ WordPress นี้เป็นไอเดียของเธอ จริงอยู่ที่ว่าแมตและไมค์เป็นคนริเริ่มสำคัญ แต่หากขาดคริสทีนไปแล้ว ก็คงไม่มีชื่อ WordPress ให้เราเห็นอยู่ทุกวันนี้แน่นอน นักศึกษาปริญญาเอกผู้ก่อตั้ง Google Search Engine | |||
หลังจากนั้นเพจและบรินได้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทกูเกิล จนกระทั่งปี ค.ศ. 2001 พวกเขาได้จ้าง เอริก ชมิดต์ ให้เป็นประธานกรรมการ (Chairman) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ต่อมานิตยสาร Forbes ในเดือนกันยนยน ปี 2006 ระบุว่าเพจมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูงถึง 14,000 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ หรือประมาณ 5 แสนล้านบาท ซึ่งทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกอันดับที่ 27 เป็นตำแหน่งที่ต่ำกว่า บริน ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทกับเขาเพียงแค่ตำแหน่งเดียว เมื่อไม่นานมานี้เพจและบรินยังได้ร่วมกันซื้อเครื่องบิน โบอิ้ง 767 เพื่อใช้ในงานในธุรกิจและงานส่วนตัวอีกด้วย Time Magazine นิตยสารข่าวชื่อดังกระฉ่อนโลก | |||
นักคิดค้นวัย 19 สร้างแบรนด์ DELL เป็นของตัวเอง! | |||
| |||
อ้างอิงข้อมูลจาก.. - http://www.lifehack.org/ - http://www.myfirstbrain.com/main_view.aspx?ID=78936 - https://stanglibrary.wordpress.com - http://www.wpthaiuser.com/wordpress-history/ |
รู้ยัง!!! โครงการดี๊ดี…ช่วงปิดเทอม
ปิดเทอมนี้ถ้าใครยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร วันนี้ Life on campus มีโครงการดี๊...ดีที่จะทำให้น้องๆ ได้ใช้เวลาว่างอย่างมีประโยชน์ พร้อมทั้งโกอินเตอร์ เปิดโลกกว้างในต่างประเทศ ได้พบเพื่อนใหม่ เรียนรู้วัฒนธรรม และยังได้ฝึกภาษาอังกฤษไปในตัว กับ 4 โครงการสำหรับนักเรียน นักศึกษา ที่อยากจะทำงานพิเศษช่วงปิดเทอมได้เงิน แถมยังได้เที่ยวอีกด้วย ซึ่งในบางโครงการที่อาจจะไม่ได้ค่าตอบแทน แต่เรียกได้ว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มกับประสบการณ์ชีวิตในต่างแดนที่เงินแค่ไหนก็หาซื้อไม่ได้ ใครชอบแบบไหนลองไปเลือกชมกันดู… | |||
1. ทำงานและท่องเที่ยว “Work and Travel USA” โปรแกรมยอดฮิตของนักศึกษามหาวิทยาลัย คงหนีไม่พ้น โครงการ “Work and Travel” ที่จัดขึ้นโดยรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีจุดประสงค์เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษาจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1- 4 และนักศึกษาระดับปริญญาโทชั้นปีที่ 1 ที่ต้องการใช้เวลาในช่วงปิดเทอมให้เป็นประโยชน์ โดยการทำงาน และท่องเที่ยวในแต่ละรัฐของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นระยะเวลา 3-4 เดือน แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม พร้อมทั้งเรียนรู้วิถีวัฒนธรรมของคนอเมริกัน และเพื่อนๆ นักศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการจากทั่วโลก นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนาภาษาอังกฤษไปในตัวอีกด้วย ซึ่งโครงการ Work and Travel ที่ประเทศสหรัฐอเมริกานี้มีตัวแทนมากมายหลายบริษัทด้วยกันหากนักศึกษาคนใดสนใจก็สามารถเข้าไปหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตได้เลย งานยอดนิยมของโครงการ Work and Travel งานที่นักศึกษาที่ไปกับโครงการ Work and Travel จะได้ทำส่วนใหญ่จะเป็นงาน “บริการ” ที่ทำการเป็นฤดูกาล เป็นสถานที่ที่ต้องการรับนักศึกษาที่ต้องการทำงานแบบชั่วคราว (Seasonal service job) เช่น งานในสวนสนุก (Theme park), อุทยาน หรือ วนอุทยาน หรือ สวนสาธารณะ (National park) สถานที่พักผ่อน (Resort), โรงแรม (Hotel), และร้านค้า (Merchandiser) เป็นต้น | |||
ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทนสำหรับนักศึกษาที่ไป WAT ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่ที่เอเจนซี่ที่มีมากมายหลายบริษัทให้เลือก ทำให้มีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นบางเอเจนซี่อาจจะมีช่วงราคาโปรโมชั่นสมัครเร็วจะได้ส่วนลดเป็นต้น รวมค่าโครงการ ค่าวีซ่า และอื่นๆ แล้วจะอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับรัฐที่เราไปด้วยว่าอยู่ในเมืองที่ค่าครองชีพสูงหรือต่ำ ส่วน “ค่าตอบแทน” ส่วนใหญ่แล้วจะตกอยู่ที่ประมาณ USD 6 - USD 10 ต่อชั่วโมง ไม่รวมค่าล่วงเวลา, ทิป, ค่าคอมมิชชั่น และอื่นๆ ขึ้นอยู่กับประเภทของงาน และข้อตกลงของนายจ้าง ซึ่งนักศึกษาจะต้องทำงานอย่างน้อย 2 เดือนขึ้นไป แต่ไม่เกิน 4 เดือน | |||
สิ่งที่นักศึกษาจะได้รับจากโครงการ Work & Travel in USA ชื่อโครงการก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นโครงการเกี่ยวกับการทำงาน และท่องเที่ยว ดังนั้นสิ่งแรกๆ ที่เราจะได้จากการเข้าร่วมโครงการก็คือ ได้ทำงานเก็บเงิน และได้ท่องเที่ยว ตามเมืองต่างๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา อีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ได้รับประสบการณ์จริง จากการทำงานจริง นักศึกษายังจะได้รับ Certificate จากองค์กรต่างประเทศ ได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ เรียนรู้วัฒนธรรมทั้งของชาวอเมริกันและจากเพื่อนๆ ชาวต่างชาติที่ไปร่วมโครงการ และยังได้ฝึกภาษาอังกฤษไปในตัวอีกด้วย | |||
2. เปิดประสบการณ์ใหม่ในโลกของสวนสนุก " Walt Disney World" โครงการ "Disney Summer Work Experience" เปิดโอกาสให้เด็กไทยได้ไปท่องเที่ยว ใช้ชีวิต และทำงานที่สวนสนุกดิสนีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นระยะเวลา 3 เดือน หรือช่วงประมาณปิดเทอมใหญ่นั่นเอง ซึ่งเปิดรับสมัครโดย Rocha's Overseas Education (London House) ตัวแทนอย่างเป็นทางการแห่งเดียวในประเทศไทย สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซด์ http://www.londonhouse-cm.com/index.html จะมีรายละเอียดพร้อมกับค่าใช้จ่ายของโครงการในแต่ละปีอย่างชัดเจน นักศึกษาที่สนใจสามารถสมัครออนไลน์ช่วงประมาณเดือน สิงหาคม-กันยายน จากนั้นก็ดำเนินการเรื่องเอกสาร พร้อมกับสอบสัมภาษณ์ เมื่อผ่านแล้วจะได้เดินทางในปีถัดไป ช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ผู้สมัครจะต้องมีอายุระหว่าง 18-28 ปี และเป็นนักศึกษาในระดับปริญญาตรี ระดับปี 2 เท่านั้น เกรดเฉลี่ยโดยรวมต้องไม่ต่ำกว่า 2.75 นอกจากนั้นยังต้องมีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่อยู่ในระดับดีมากอีกด้วย งานสำหรับนักศึกษาไทยในสวนสนุกดิสนีย์ แม้จะมีหลายตำแหน่งงานในดิสนีย์แลนด์ แต่สำหรับนักศึกษาไทยจะมีให้เลือกเพียง 3 ตำแหน่งเท่านั้นคือ 1. Lifegard คือ พนักงานดูแลน่านน้ำเป็นโซนๆ ดูแลความเรียบร้อยบริเวณสระน้ำ 2. Merchandise คือ พนักงานขายของ แนะนำสินค้า 3. Quick Service Food & Beverage คือ พนักงานขายอาหาร ทำอาหาร | |||
ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน ข้อดีของโครงการนี้ที่แตกต่างจากโครงการอื่นๆ คือ "ไม่ต้องเสียค่าสมัครเข้าร่วมโครงการ" ซึ่งโครงการอื่นจะต้องเสียค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้ประมาณ 100,000- 150,000 บาท เลยทีเดียว แต่นักศึกษาจะต้องเสียในส่วนของค่าใช้จ่ายส่วนตัวเองไม่เกิน 88,000 บาท (ไม่มีค่าเข้าโครงการ) เมื่อเข้าร่วมโครงการแล้วนักศึกษาจะต้องทำงานขั้นต่ำ 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ปกติประมาณ 40-45 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และจะได้รับค่าจ้างประมาณ $7.21 - $8.48 ต่อชั่วโมงขึ้นอยู่กับตำแหน่งงาน | |||
สิ่งที่นักศึกษาได้รับจากการไปร่วมงานที่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ ได้ทำงานกับบริษัทระดับโลกอย่าง Walt Disney World ซึ่งการทำงานมีคุณภาพ มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือ ทำให้ได้ฝึกพัฒนาตนเองในหลายๆ ด้าน เช่น การตรงต่อเวลา การมีระเบียบวินัยในการทำงาน ความรับผิดชอบ การทำงานเป็นทีม ได้ฝึกทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ และอื่นๆ อีกมากมายสำหรับประสบการณ์ในด้านการทำงาน และนอกจากนั้นยังรวมไปถึงโอกาสต่างๆ ที่น้องๆ จะได้รับนั่นก็คือ สามารถลงสมัครเรียนในคอร์สเรียนต่างๆ ของ Disney ได้ (ไม่บังคับ) และยังสามารถเข้าชมและเที่ยวสวนสนุกของ Walt Disney World ได้ฟรี (ยกเว้นสวนน้ำ) มีส่วนลด 20% จากร้านอาหารและร้านค้าในWalt Disney World ทำงานเที่ยวกันได้อย่างสบายใจเลยทีเดียว | |||
3. อาสาสมัครใจบุญ "Hello World Experience" มาร่วมเป็นอาสาสมัครกับโครงการแลกเปลี่ยนต่างประเทศ Hello World Experience หนึ่งในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมผ่านการช่วยเหลือสังคมที่ต่างประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ AIESEC THAILAND เป็นโครงการการฝึกภาษาในรูปแบบใหม่ โดยนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการจะได้ใช้ภาษาอังกฤษ ทำโครงการร่วมกับชุมชน และองค์กรท้องถิ่นที่ต่างประเทศ ได้พบกับเพื่อนใหม่ชาวต่างชาติมากมาย และยังได้พัฒนาตนเองอีกด้วย ระยะเวลาของการไปแลกเปลี่ยนคือ หนึ่งถึงหนึ่งเดือนครึ่ง หรือประมาณ 6 สัปดาห์ โดยจะส่งนักศึกษาไปตอนช่วงปิดเทอม ทั้งปิดเทอมเล็กและปิดเทอมใหญ่ โดยมีโครงการอาสาสมัครช่วยเหลือสังคมในประเทศต่างๆ ดังนี้ | |||
โครงการ UBUNTU ประเทศอิตาลี เป็นอาสาสมัครในศูนย์ UBUNTU ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นศูนย์ดูแลเด็ก ซึ่งนักศึกษาต้องทำงานร่วมกับอาสาสมัครในศูนย์เพื่อคิดกิจกรรมสำหรับเด็ก สอนการบ้านภาษาอังกฤษ และสอนวัฒนธรรมไทยให้แก่เด็กในศูนย์ โครงการ International Kindergarten ประเทศโปแลนด์ เป็นอาสาสมัครในโรงเรียนอนุบาล ทำหน้าที่ดูแลเด็กนักเรียน คิดกิจกรรมต่างๆ เช่น เกมส์ เต้น ร้องเพลง ให้กับเด็กๆ โดยกิจกรรมต่างๆต้องเอื้อให้เด็กได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่หลากหลาย โครงการ Youth Development ประเทศจีน เป็นอาสาสมัครในการจัด workshop สำหรับนักศึกษาในประเทศจีนเกี่ยวกับเรื่อง นวัตกรรม การสื่อสาร และธุรกิจ โดยนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการ Training จากผู้เชี่ยวชาญก่อนการจัด workshop ด้วยตนเอง โครงการ International Fun Farming ประเทศไต้หวัน เป็นอาสาสมัครฝึกงานในด้านการเกษตรกรรมของไต้หวัน และเป็นสต๊าฟ Organic Camp สำหรับนักเรียนอายุ 10-16 ปี โครงการ Footprint ประเทศอินเดีย ไปศึกษาความเป็นอยู่ของชุมชนประเทศอินเดียเพื่อทำภาพยนตร์สั้นและเผยแพร่ปัญหาของชุมชนโดยเฉพาะเด็กในชุมชนสู่สาธารณะชน ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการ ค่าโครงการเพียงแค่ 10,000 บาท โดยในโครงการจะมีที่พักและอาหารให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ (ยกเว้นบางโครงการหากไม่มีอาหารหรือที่พักจะแจ้งล่วงหน้าแก่ผู้เข้าร่วม) | |||
สิ่งที่นักศึกษาจะได้รับจากโครงการ นักศึกษาจะได้ฝึกทักษะการพูดและการฟังภาษาอังกฤษ ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจากประเทศต่างๆ ที่ไป ได้ทำงานกับคนจริงและสถานที่จริง และยังได้ช่วยเหลือสังคมและพัฒนาตนเองอีกด้วย ***AIESEC (ไอเซค) เป็นองค์กรนักศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีเครือข่ายมากกว่า 110 ประเทศทั่วโลก และมีสมาชิกมากกว่า 60,000 คน ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีไอเซคอยู่ใน 4 มหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้แก่ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : http://aiesecbu.wix.com/helloworld | |||
4. ชีวิตเด็กฟาร์มกับโครงการ ‘WWOOFing’ World Wide Oppotunities on Organic Farms หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า ‘วูฟ’ เป็นโครงการแลกเปลี่ยนสัมพันธภาพแบบนานาชาติ ระหว่างผู้เป็นเจ้าบ้าน ที่เรียกว่า "host" กับผู้มาเยือน ที่เรียกว่า "WWOOFer" (วูฟเฟอร์) โดยผู้ที่สนใจจะต้องสมัครเป็นสมาชิกองค์กร WWOOF ของประเทศที่ต้องการ และหลังจากนั้นก็ทำการเลือกโฮสต์ (Host) เพื่อไปทำงานในฟาร์มแลกกับที่พักและอาหารฟรี รวมถึงได้เรียนรู้และสัมผัสวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง WWOOF มีโครงการอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก อาทิ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน อินเดีย เกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น เป็นต้น เมื่อคิดจะเข้าไปเป็นวูฟเฟอร์ในประเทศไหนก็ต้องสมัครกับองค์กรในประเทศนั้น ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นประเทศที่นักท่องเที่ยวหลายคนอยากไปสัมผัส ก็มีโครงการวูฟ ที่คนไทยนิยมไปมากเช่นกัน | |||
ขั้นตอนการสมัครเข้าร่วมโครงการ ก่อนอื่นเราจะเป็นวูฟเฟอร์ได้ก็ต้องทำการสมัครกับองค์กร WWOOF ในประเทศนั้นๆ เสียก่อน มีค่าใช้จ่ายเป็นค่าสมัครด้วย อย่างเช่นที่ญี่ปุ่นค่าสมัครสมาชิก 5500 เยน หรือประมาณสองพันกว่าบาท อายุการเป็นสมาชิกของวูฟเฟอร์คือ 1 ปี โดยเกณฑ์ผู้ที่สามารถเป็น wwoofer ได้คือ ต้องเป็นคนที่อายุเกิน 16 ปี ไม่จำกัดเพศและอาชีพ แต่ถ้าไปช่วยงานไร่งานสวนก็ควรจะมีสุขภาพที่แข็งแรง เมื่อมีสถานภาพเป็นวูฟเฟอร์แล้ว ก็จะมีสิทธิ์ติดต่อขอเข้าไปทำงานกับโฮสต์ต่างๆ ได้ โครงการวูฟนี่มีอยู่หลายประเทศแต่บางประเทศจะกำหนดอายุว่าไม่เกิน 30 ปีซึ่งจะคล้ายๆกับ Work andTravel แต่วูฟที่ญี่ปุ่นไม่มีกำหนดอายุ เราสามารถเลือก Host ตามความต้องการ แล้วส่งอีเมล์ไปแนะนำตัวว่าอยากไปทำงานเป็นอาสาสมัคร และเมื่อ Host ตอบตกลง ก็เตรียมตัวแพ็คกระเป๋าไปรับประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆที่ประเทศญี่ปุ่นได้เลย | |||
ลักษณะการทำงานของวูฟ กฎการทำงานวันละประมาณ 6 ชั่วโมง หากพักอาศัยนานเกิน 1อาทิตย์จะมีวันหยุดให้ 1วัน ทั้งนี้ระยะเวลาการช่วยงานจะต่างออกไปขึ้นอยู่กับ Host แต่ละที่ ไปได้หลายครั้งไม่จำกัดจำนวนครั้ง รูปแบบการทำงานก็แล้วแต่ Host จะมอบหมายให้ มีตั้งแต่ปลูกต้นข้าว กำจัดวัชพืช ให้อาหารสัตว์ ส่งของ เตรียมของ เลี้ยงลูก ช่วยทำกับข้าว และอื่นๆ เป็นต้น สิ่งที่นักศึกษาจะได้รับจาการไปเป็นวูฟเฟอร์ สิ่งที่วูฟเฟอร์จะได้แน่ๆ คือ การได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ท่องเที่ยวในประเทศต่างๆ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพทั้งค่ากินและค่าอยู่ แถมยังได้ความรู้จากสิ่งที่เราสนใจติดตัวไปด้วย แต่ต้องแลกด้วยการทำงานตอบแทนตามที่ได้รับมอบหมายด้วยความรับผิดชอบ นอกจากนั้นทั้งโฮสและวูฟเฟอร์จะได้รับร่วมกันนั่นก็คือ มิตรภาพและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกันนั่นเอง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : wwoofjapan http://www.wwoofjapan.com/main/ ภาพประกอบจาก : Internet |
Subscribe to:
Posts (Atom)