Saturday, February 28, 2015
Wednesday, February 25, 2015
เคล็ดลับอายุยืน จากคุณหมอผู้มีอายุมากกว่า 100 ปี
เคล็ดลับการมีอายุยืนมากกว่า 100 ปีของอาจารย์หมอฮิโนฮาระ ชายวัย 103 ปีที่ยังประกอบอาชีพหมออย่างเต็มที่ถึงปัจจุบัน หมอฮิโนฮาระ คุณหมอวัย 103 เกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1911 จบปริญญาเอกคณะแพทยศาสตร์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งคณะบดีมหาวิทยาลัยนานาชาติ St. Luke ผู้อำนวยการใหญ่โรงพยาบาลนานาชาติ St.Luke เป็นอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัย Harvard ประเทศสหรัฐอเมริกา และ Jichi Medical ประเทศญี่ปุ่น | |||
เคล็ดลับ “ทานอย่างไรให้อายุยืน” - ทานเรียบง่าย ในปริมาณน้อย ไม่อิ่มจนเกินไป - เน้นแค่มื้อเดียวคือ มื้อเย็น - ตอนเช้าจะทานกาแฟ น้ำผลไม้ นม และน้ำมันมะกอก - ตอนกลางวันจะทานแค่นม และคุ้กกี้ 2 ชิ้น - มื้อเย็นจะทานผักเป็นจำนวนมาก กับข้าวครึ่งถ้วย กับข้าวคือเนื้อไม่ติดมัน หรือเนื้อปลา โดยจะลิมิตจำนวนแคลอรี่ของอาหารไว้ที่ 1,300/ วัน 1,200 แคลอรี่จะถูกใช้ในระบบเผาผลาญ และ 100 แคลอรี่ที่เหลือจะใช้บริหารสมอง คุณหมอฮิโนฮาระยังบอกว่า เคล็ดลับด้านสุขภาพของแกคือ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ กับการทานในปริมาณน้อย เด็กหนุ่มสาวปัจจุบันแก่เร็วขึ้น เพราะว่า ทานเยอะ มีอาหารที่อุดมสมบูรณ์เกินไป เคล็ดลับ “นอนอย่างไรให้อายุยืน” - ให้นอนคว่ำ เพราะโดยปกติสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งหมดจะนอนลักษณะคว่ำเช่นกัน การนอนแบบนี้จะช่วยให้มีการเคลื่อนไหวของกระบังลม เป็นการหายใจด้วยท้องตลอดทั้งคืน แก้ไขปัญหาการกรนระหว่างนอน ทำให้การทำงานของกระเพาะกับลำไส้ก็ดีขึ้น รวมถึงการขับปัสสาวะดีขึ้น นอนแบบนี้จะช่วยให้หลับสนิท และตื่นมาอย่างสดใสด้วย เคล็ดลับ “ออกกำลังกายอย่างไรให้อายุยืน” - วิดพื้น วันละ 20 ครั้งโดยใช้มือยึดจับกับพนักพิงเก้าอี้, Squat 40 ครั้ง - ขึ้นบันไดแทนบันไดเลื่อนเสมอ บางครั้งก็กระโดดขึ้นบันไดทีละ 2 ขั้น ชอบขึ้นบันไดให้เร็วกว่าบันไดเลื่อน - บริหารกล้ามเนื้อคอ (หมุนซ้ายขวาหน้าหลัง ขณะอาบน้ำร้อน, ถ้ามีใครเรียกจากข้างหลัง จะไม่หมุนหันไปทั้งตัว แต่เลือกหมุนเพียงแค่ส่วนคอ) คุณหมอฮิโนฮาระ มีวาทะประจำตัวที่โด่งดังและปลุกพลังแรงใจในการดูแลสุขภาพของตัวเองว่า "การมีความสุขที่มีชีวิตอยู่ จะเริ่มต้นจากการให้ความสำคัญกับตัวเองอย่างจริงจัง" |
Sunday, February 22, 2015
5 อาหารทะเล สุขภาพดี ไม่มีคอเลสเตอรอล

อาหารทะเลเมื่อพูดถึงแล้วคงเป็นของโปรดใครหลายๆคน แต่ถ้าคนรักษาสุขภาพคงรู้ดีว่าการกินอาหารทะเลผลที่ตามมาคือคอเลสเตอรอล แต่ถ้าเราทานนานๆครั้งอาหารพวกนี้ก็จะเป็นคุณประโยชน์ต่อร่างกายที่เดียว ได้แก่

1.ปลาแซลมอน ปลาแซลมอนหนึ่งชิ้นให้กรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยบำรุงสุขภาพผิว ในปริมาณที่มากกว่าที่ร่างกายต้องการต่อวันเสียอีก จึงนับเป็นอาหารทะเลอันดับหนึ่งสำหรับบำรุงผิวพรรณให้มีความยืดหยุ่นชุ่มชื่น

2.ปลาทูน่า สุดยอดปลาที่ให้ปริมาณโปรตีนเทียบเท่ากับเนื้อวัว และยังเปี่ยมด้วยโอเมก้า-3 และแคลเซียม เหมาะมากสำหรับทำเป็นมื้อเย็น แต่ถ้าเลือกได้พยายามใช้ทูน่าสดมากกว่าทูน่ากระป๋องที่ให้กรดไขมันในปริมาณที่น้อยกว่า

3.หอยแมลงภู่ มีแคลอรี่ต่ำ และอุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญ เช่น เหล็กและสังกะสี และอีกเรื่องที่เรามักไม่ค่อยจะรู้กันก็คือ หอยแมลงภู่นั้นมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เทียบเท่ากับปลาทะเลเลยด้วย

4.ปลากะพงขาว มีแคลเซียมสูง และเป็นแหล่งของวิตามินบี รวมถึงการที่มันมีก้างเยอะจึงเหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนักด้วย ประมาณว่าต้องใช้เวลาในการกินนานขึ้นนั่นเอง

5.กุ้ง มีธาตุเหล็กสูง สังกะสีและวิตามินที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน มีไขมันอิ่มตัวต่ำ (น้อยกว่าเนื้อไก่ด้วย) จึงเป็นทางเลือกที่อร่อยและดีต่อสุขภาพหัวใจ
ที่มา : SlimmingMag
Saturday, February 21, 2015
แต่งสวนหน้าบ้าน-หลังบ้านทาวน์เฮ้าส์ แบบงบจำกัด !

แต่งสวนหน้าบ้าน-หลังบ้านทาวน์เฮ้าส์ แบบงบจำกัด !
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ poiadobe สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
แต่งสวนบ้านทาวน์เฮ้าส์ ทั้งหน้าบ้าน และหลังบ้าน ด้วยงบที่มีอยู่อย่างจำกัด ใครอยากแต่งสวนหน้าบ้านลองมาดูไอเดียจัดสวนราคาประหยัดนี้พร้อมกันดีกว่า
สำหรับคนอยู่ทาวน์เฮ้าส์อาจจะไม่ค่อยมีพื้นที่ให้จัดสวนมากนัก แต่ถึงอย่างไรสีเขียว ๆ และความสดชื่นของต้นไม้ก็เป็นสิ่งที่บ้านขาดไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นถ้าหากอยากจัดสวนกับเขาบ้าง วันนี้กระปุกดอทคอมก็ขอนำไอเดียแต่งสวนบ้านทาวน์เฮ้าส์ ทั้งหน้าบ้าน และหลังบ้าน จากคุณ poiadobe สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มาฝาก ซึ่งงานนี้ใช้งบประหยัด ๆ ไม่เกิน 3 หมื่นบาทจ้า

ไอเดียตกแต่งสวนหน้าบ้านกับหลังบ้านค่ะ โดย คุณ poiadobe
























จบแล้วค่ะ หวังว่าจะเป็นไอเดียให้เพื่อนได้บ้างนะคะ ด้วยงบที่ไม่บานปลาย ทั้งทำเองบ้าง ทั้งจ้างเค้าทำบ้าง อิอิ ลองดูนะคะ
Friday, February 20, 2015
ปาล์ม
นาร้าง ในพื้นที่ภาคใต้กำลังเป็นปัญหา นอกจากเป็นการสูญเสียแหล่งอาหารที่สำคัญ
วันเสาร์ 7 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 05:00 น.
นาร้าง ในพื้นที่ภาคใต้กำลังเป็นปัญหา นอกจากเป็นการสูญเสียแหล่งอาหารที่สำคัญแล้วยังส่งผลต่อความรู้สึกของผู้คนในพื้นที่ที่อยากทำนาแต่ทำไม่ได้ ที่ผ่านมา แม้จะมีนโยบายฟื้นฟูนาร้าง แต่ปัญหาก็ยังคงมีอยู่ จนเกิดเป็นวิกฤติ ในพื้นที่จังหวัดชาย แดนภาคใต้ กรมพัฒนาที่ดินจึงได้ทำโครง การปรับปรุงพื้นที่นาร้างพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ยะลา ปัตตานีและนราธิวาส ขึ้นเพื่อพัฒนา ฟื้นฟูให้สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรอีกครั้ง
นายปรีชา โพธิ์ปาน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนา ที่ดินเขต 12 (สงขลา) บอกว่า โครงการดังกล่าวเป็นนโยบายของกรมพัฒนาที่ดินที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และมีเกษตรกรให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการอย่างมาก เนื่องจากพื้นที่ประสบปัญหาทำให้เกษตรกรไม่สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินทำการเกษตรได้ จึงจำใจต้องปล่อยทิ้งร้างไว้ แต่เมื่อมีโครงการที่หน่วยงานรัฐพร้อมเข้าไปสนับสนุน ทำให้สามารถนำที่ดินกลับมาใช้ประโยชน์ สร้างอาชีพและรายได้กลับมาอีกครั้ง
ทั้งนี้สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 12 จะเข้าไปสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่นาร้างที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ เพื่อปลูกข้าวและปลูกปาล์มน้ำมัน โดยการช่วยปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ปรับปรุงบำรุงดินให้มีความเหมาะสมต่อการปลูกพืชชนิดนั้น ๆ นอกจากนี้ยังสนับสนุนวัสดุปรับปรุงดิน พร้อมแจกพันธุ์ปาล์มน้ำมันให้เกษตรกรจำนวน 22 ต้น/ไร่ เพื่อสร้างโอกาสให้เกษตรกรได้มีทางเลือกในการประกอบอาชีพมากขึ้น
ด้านนายประเสริฐ ศิริรัตน์ หมอดินอาสาประจำ อ.ปะเหลียน จ.ตรัง เล่าว่า เมื่อก่อนที่อำเภอปะเหลียน เกษตรกรจะทำนา แต่ด้วยประสบกับสภาพพื้นที่ลุ่มน้ำท่วมขัง ทำให้ดินเป็นกรดจัด ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ปลูกข้าวก็ให้ผลผลิตต่ำ ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เกษตรกรจึงต้องปล่อยทิ้งนาร้างไปไม่ต่ำกว่า 30 ปี จนกระทั่งสถานีพัฒนาที่ดินตรัง ได้เข้ามาส่งเสริม ขณะนี้ปาล์มน้ำมันของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการอายุได้ประมาณ 4 ปี ก็เก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว ประมาณ 3 ตัน/ไร่/ปี เพราะปาล์มน้ำมันจะให้ผลผลิตสูงสุดตอนช่วงอายุ 5-6 ปี ก็นับว่าคุ้มค่า จากพื้นที่นาร้างที่ทำการเพาะปลูกอะไรไม่ได้ สามารถพลิกฟื้นกลับมาปลูกปาล์มน้ำมันพืชเศรษฐกิจได้ ที่สำคัญสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เดือนละ 2 ครั้ง ทำให้เกษตรกรมีรายได้ต่อเนื่องทุกเดือน
“ผลจากการเข้าร่วมโครง การของเกษตรกรรุ่นแรกที่ปรับปรุงพื้นที่นาร้างเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน ก็กลายเป็นเกษตรกรตัวอย่างให้กับเพื่อนบ้าน โดยมีการรวมกลุ่มกันทำปุ๋ยหมัก ปลูกปอเทืองพืชปรับปรุงบำรุงดิน ทำน้ำหมักชีวภาพ ใช้ในแปลงของตนเอง ลดการใช้สารเคมี จากเดิมที่เคยใช้สารเคมีปีละ 3-4 ครั้ง ตอนนี้ใช้ 1 ครั้งหรือสูงสุดไม่เกิน 2 ครั้ง ที่เหลือก็ใช้ปุ๋ยคอก น้ำหมักชีวภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้พื้นที่มีความเขียวชอุ่ม ดินอุดมสมบูรณ์ ผลผลิตก็เพิ่มขึ้น แถมยังลดต้นทุนได้ด้วย และจากจุดเริ่มต้นของเกษตรกรเพียง 5 ราย ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พื้นที่นาร้างจากเดิมที่มีอยู่เกือบ 1,000 ไร่ หลังจากมีโครงการปรับปรุงนาร้าง พื้นที่ทิ้งร้างก็ลดลงจนเหลือเพียง 100-200 ไร่” นายประเสริฐ กล่าว
ปัญหานาร้างในแต่ละพื้นที่เกิดจากปัจจัยและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน การแก้ปัญหาจึงไม่เหมือนกัน และไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ดังนั้นการแก้ไขฟื้นฟูต้องมีการศึกษาวิเคราะห์ และวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วน รวมถึงยังต้องบูรณาการความร่วมมือเป็นระบบครบวงจร มิฉะนั้นจะยิ่งส่งผลกระทบต่อผู้คนในพื้นที่ ส่งผลต่อความรู้สึก ทำให้เกิดเงื่อนไขอื่น ๆ ตามมาได้.
ชมพู่ใต้หวัน
ผลชมพู่ที่เก็บมานั้นมีขนาดของผลใหญ่กว่าชมพู่สายพันธุ์อื่น ๆ มีน้ำหนักผลประมาณ 200-300 กรัม หรือ 3-5 ผลต่อกิโลกรัม ผิวผลมีสีชมพูหรือสีชมพูอมแดง เมื่อแก่จัดมีสีชมพูเข้ม
วันพฤหัสบดี 19 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 05:00 น.
เมื่อประมาณปลายปี พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา ต้นชมพู่ยักษ์ซึ่งปลูกที่สวนแห่งหนึ่งในไต้หวันได้ออกดอกและติดผลก่อนฤดู มีการทดลองไว้ผลพวงละ 1-5 ผล โดยเลือกซอยแต่งผลที่มีความสมบูรณ์เอาไว้ ปรากฏว่าการไว้ผลที่ 3-5 ผลต่อช่อมีความเหมาะสมที่สุด ผลชมพู่มีขนาดผลใหญ่สม่ำเสมอ เฉลี่ยน้ำหนักผลต่อพวงได้ 700-1,000 กรัม
และพบว่าผลชมพู่ที่เก็บมานั้นมีขนาดของผลใหญ่กว่าชมพู่สายพันธุ์อื่น ๆ มีน้ำหนักผลประมาณ 200-300 กรัม หรือ 3-5 ผลต่อกิโลกรัม ผิวผลมีสีชมพูหรือสีชมพูอมแดง เมื่อแก่จัดมีสีชมพูเข้ม ลักษณะของผลเป็น รูประฆังคว่ำใหญ่ มีความกว้างของผลเฉลี่ย 7 เซนติเมตรและความยาวของผล เฉลี่ย 9-10 เซนติเมตร เนื้อหนาและเป็นชมพู่ไร้เมล็ด รสชาติหวานกรอบมีความหวานประมาณ 13-14 บริกซ์ ถ้าผลผลิตแก่และเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูแล้งจะมีความหวานสูงกว่านี้ จัดเป็นชมพู่สายพันธุ์หนึ่งที่ออกดอกและติดผลดก
ความจริงแล้วการตัดแต่งกิ่งเพื่อควบคุมทรงพุ่มของต้นชมพู่ไม่ให้สูงเกินไปได้มีเกษตรกรไทยบางรายได้นำมาปฏิบัติแล้วต่างก็ยอมรับว่าได้ผลดี สะดวกต่อการจัดการโดยเฉพาะในการห่อผลและการเก็บเกี่ยว ในการตัดแต่งต้นชมพู่ทุกปีจะต้องควบคุมความสูงไม่ให้เกิน 4 เมตร แต่ถ้าจะให้ดีควรจะควบคุมให้สูงประมาณ 3 เมตร
ซึ่งวิธีการตัดจะไม่ตัดแต่งกิ่งอย่างหนัก แตกต่างจากการตัดแต่งกิ่งมะม่วง การตัดแต่งกิ่งควรจะตัดกิ่งที่อยู่ใต้ใบ หรือยอดที่แตกข้างใบล่าง และไม่ควรตัดแต่งกิ่งโดยให้บริเวณที่ตัดนั้นโดนแสงแดด จะทำให้กิ่งใหม่ที่แตกออกมากเป็น 3-4 ยอด ทำให้จัดการได้ยากมาก รวมถึงควบคุมการออกดอกและติดผลได้ยากด้วย ดังนั้นจะต้องตัดกิ่งที่มีใบบังอยู่ ต้นชมพู่หากขาดปุ๋ยหรือต้นไม่สมบูรณ์ จะแสดงอาการให้เห็นที่ใบก่อน เช่น ใบซีดและไม่สดชื่น เกษตรกรจะต้องดูแลโคนต้นชมพู่ให้สะอาด และจะต้องมีความรู้ว่ารากฝอยที่มีหน้าที่ดูดน้ำและปุ๋ยนั้นอยู่ห่างจากทรงพุ่มประมาณ 1 ศอก หรือประมาณ 0.5 เมตร
ดังนั้นในการให้ปุ๋ยแต่ละครั้งจะต้อง ใส่ห่างจากทรงพุ่มประมาณ 0.5 เมตร ซึ่งสอดคล้องกับการปรับปรุงคุณภาพของชมพู่ในประเทศไทย ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ระยะเลี้ยงผลของชมพู่นั้นสั้นมาก หลังจากระยะถอดหมวก คือ ติดผลเท่ากับนิ้วก้อยจนแก่และเก็บเกี่ยวได้ จะใช้เวลาประมาณ 30-40 วันเท่านั้น
ปัจจุบันหลายคนเริ่มสนใจและคิดว่าชมพู่ยักษ์ไต้หวันนี้จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการปลูกชมพู่ในประเทศไทยเพราะมีความโดดเด่นในเรื่องขนาดผลที่ใหญ่และรสชาติมีความหวานกรอบมากไม่แพ้ชมพู่พันธุ์การค้าสายพันธุ์อื่น ยิ่งได้อากาศหนาว สีผลยิ่งมีสีชมพูเข้มสวย และรสชาติดียิ่งขึ้น.
ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ
กระถางแก้มลิง
“กระถางแก้มลิง” เทคนิคการปลูกพืชลดการให้น้ำ ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองอย่างตรงจุด เหมาะสำหรับการปลูกพืชในพื้นที่จำกัด รดน้ำครั้งเดียวเอาอยู่
วันเสาร์ 21 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 10:00 น.
“กระถางแก้มลิง” ถือเป็นนวัตกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างมากในหมู่เกษตรกรและคนทั่วไปที่สนใจการปลูกพืช เพราะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์ “ชีวิตคนเมือง” ได้อย่างตรงจุด
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการปลูกพืชโดยใช้กระถางแก้มลิง สามารถปลูกได้ในพื้นที่จำกัดและประยุกต์ใช้กับการปลูกพืชได้หลายชนิด นอกจากนี้ยังดูแลง่าย เพียงรดน้ำครั้งเดียวก็ทำให้ต้นไม้อยู่ได้เกือบเดือน โดยไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อย
ล่าสุด “อ.นภพล รัตนสุนทร” อาจารย์ประจำวิทยาลัยเทคนิคนครนายก ผู้คิดค้นการใช้กระถางแก้มลิงปลูกพืช ได้พัฒนากระถางแก้มลิงรูปแบบใหม่ โดยดัดแปลงต่อยอดจากกระถางแก้มลิงต้นแบบ เพื่อลบจุดด้อยที่มีปัญหา ทำให้กระถางแก้มลิงโฉมใหม่ ใช้งานได้สะดวกมากขึ้น
ทั้งนี้ “กระถางแก้มลิงรูปแบบเดิม” จะนำกระถางเปล่าเจาะรูด้านข้าง เพื่อระบายน้ำและนำกระถางที่มีขนาดเล็กกว่าคว่ำไปในกระถางใบแรก โดยมีท่อเชื่อมต่อเข้าไปในกระถางที่คว่ำอยู่สำหรับใส่น้ำและดูดน้ำออก จากนั้นใส่หินให้ปิดก้นกระถางใบคว่ำพร้อมใส่ดินปลูกพืชปกติ แต่สำหรับ “กระถางแก้มลิงรูปแบบใหม่” จะเจาะรูของกระถางให้ใหญ่ขึ้นและเว้าเข้าไปด้านในเล็กน้อย ไม่ใช้ท่อปัก แต่เปลี่ยนมาให้น้ำจากรูที่เจาะไว้ด้านข้างแทน เพื่อลดปัญหาดินอุดตัน ทั้งยังสามารถมองเห็นระดับน้ำในกระถางแก้มลิง มีประโยชน์ในการควบคุมระดับน้ำ ส่วนด้านในจะมีที่ภาชนะเก็บน้ำหรือเราเรียกว่า “แก้มลิง” เป็นภาชนะทรงคว่ำไว้ด้านล่างเพื่อกักเก็บน้ำ หินที่ใส่ลงไปมีหน้าที่ชะลอการซึมของน้ำ เมื่อใส่ดินทับลงไปและรดน้ำ ดินจะแทรกตัวลงไปตามซอกหินทำหน้าที่ดูดซับน้ำจากอุโมงค์แก้มลิง เมื่อดินด้านบนขาดน้ำดินข้างล่างจะดูดความชื้นขึ้นมาทำให้ดินไม่แห้ง เมื่อต้นไม้โตขึ้น รากของต้นไม้จะยาวลงไปดูดความชื้นจากน้ำด้านล่าง เสมือนการปลูกต้นไม้ริมแม่น้ำ ทำให้ต้นไม้ไม่ขาดน้ำ
หลายคนอาจคิดว่าอุโมงค์น้ำในกระถาง จะทำให้รากเน่าตายได้ แต่ความจริงแล้วการปลูกต้นไม้ลักษณะนี้ ต้นไม้สามารถเจริญเติบโตได้โดยที่รากไม่เน่า สาเหตุเพราะต้นไม้เกิดการปรับตัวในระยะยาว ต่างจากกรณีน้ำท่วมซึ่งต้นไม้จะไม่มีเวลาปรับตัวทำให้รากเน่าตายในที่สุด
ที่มาที่ไปของการคิดค้นกระถางแก้มลิง “อ.นภพล” เล่าว่า การปลูกพืชในกระถางต้นไม้ จำเป็นต้องรดน้ำเป็นประจำ หากไม่มีเวลาหรือลืม ต้นไม้จะเหี่ยวตายได้ ทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่า ทำอย่างไรที่จะทำให้การรดน้ำต้นไม้เป็นเรื่องง่าย หลังจากสังเกตต้นไม้ตามชายทุ่งหรือริมแม่น้ำในหน้าแล้งพบว่าต้นไม้บริเวณดังกล่าวสามารถเจริญเติบโตได้ ทำให้นึกถึงหลักการของน้ำใต้ดิน และเกิดเป็นระบบน้ำใต้ดินในกระถางต้นไม้ที่สามารถทำเองได้ง่ายๆที่บ้าน
ปัจจุบันกระถางแก้มลิงเคลือบดินเผา ขนาดกว้าง8นิ้ว ราคา100บาท, ขนาด16นิ้ว ราคา 250บาท และขนาด22นิ้ว ราคา350บาท สามารถติดต่อได้ที่สวนเกษตรชีวภาพ สวนพอดี บริเวณข้างวัดหนองทองทราย ต.ดงละคร อ.เมือง จ.นครนายก หรือติดต่อที่ “อ.นภพล รัตนสุนทร” คลินิกเทคโนโลยีวิทยาลัยเทคนิคนครนายก
Subscribe to:
Posts (Atom)